Daylight Saving Time 1 ชั่วโมงที่มนุษย์ ขอยืม…จากพระเจ้า

หลายประเทศใช้ระบบปรับเวลาในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วงเพื่อที่จะให้มีแสงสว่างมากขึ้นในช่วงเย็นแต่ใครล่ะเป็นคนคิดระบบนี้ขึ้น
Daylight Saving Time (DST) เป็นการกำหนดให้นาฬิกาเดินหน้าไป 1 ชั่วโมงจากฤดูใบไม้ผลิและย้อนกลับมาในฤดูใบไม้ร่วง
ปัจจุบันมีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศทั่วโลก รวมถึงเกือบทุกประเทศในยุโรป อเมริกาเหนือส่วนใหญ่ และในซีกโลกทางใต้
การใช้งานมีครอบคลุมมากกว่า 1,000 ล้านคน แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นคงเลือกผิดยังคงถกเถียงกัน
เบนจามิน แฟรงคลิน นักวิทยาศาสตร์ และรัฐบุรุษชาวอเมริกัน เป็นผู้เอ่ยแนวคิดเรื่องนี้ครั้งแรก ขณะที่เขาอาศัยอยู่ในกรุงปารีสช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เป็นแนวคิดของการอยากเพิ่มเวลาที่ใช้ชีวิต ขณะที่มีแสงแดดให้ยาวนานขึ้น
จากการสังเกตของเขาเองเมื่อปี 1784 โดยกล่าวว่า จะประหยัดเทียนไขได้อย่างมหาศาล ถ้าผู้คนตื่นเช้าขึ้นอีกซักนิดโดยการหมุนนาฬิกาเดินหน้า พวกเขาจะได้ออกมาเห็นและทำอะไรๆ ในสิ่งที่น่าสนใจได้มากยิ่งขึ้น
จนกระทั่งปี 1895 ที่นิวซีแลนด์ นักกีฏวิทยาชื่อ จอร์จ เวอร์นอน ฮัดสัน เป็นคนแรกที่นำเสนอเรื่องการหมุนนาฬิกาเดินหน้าในช่วงฤดูร้อนให้กลายเป็นเรื่องจริง
เขาเสนอการปรับ 2 ชั่วโมงเป็นเวลาห้าเดือนในแต่ละปี ชาวนิวซีแลนด์บางส่วน รู้สึกทึ่งกับความคิดของฮัดสัน แต่ก็มีคนที่เยาะเย้ยในความคิดของเขา แต่แล้วนิวซีแลนด์ก็ไม่ได้ใช้ระบบนี้ จนกระทั่งถึงปี 1927 จึงได้นำมาใช้หลังประเทศอื่นๆ เริ่มใช้มามากกว่า 10 ปีแล้ว

ผู้มีความคิดนำไปสู่การใช้ DST ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ก็คือ นักธุรกิจก่อสร้าง ชาวอังกฤษชื่อ วิลเลี่ยม วิลเล็ตต์ ซึ่งมีชีวิตในช่วงต้นทศวรรษ 1900
วิลเล็ตต์ ตื่นแต่เช้าตรู่ในฤดูใบไม้ผลิ เขาชอบไปขี่ม้าก่อนอาหารเช้าทุกวัน แล้วก็รำพึงรำพันเป็นประจำ ว่าจะดีเพียงไหน ถ้าเรามีเวลาได้สัมผัสก็ส่วนที่ดีที่สุดในฤดูร้อน
จากแนวคิดนี้ สะท้อนถึงความเปล่าประโยชน์ของแสงแดด เขาจึงมีความคิดว่า จะหมุนนาฬิกาไปข้างหน้าในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับเขา ทำให้ได้เห็นตอนเช้าที่สวยงามสดใส และมีแสงสว่างมากขึ้นในตอนเย็นซึ่งไม่ใช่ชั่วโมงตื่นปกติของผู้คน
ในปี 1907 เขาเขียนหนังสือเล่มเล็กๆ ชื่อว่า TheWaste of Daylight โดยลงรายละเอียดเกี่ยวกับแนวความคิดของเขา ยื่นต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายโรเบิร์ต เพียร์ซ ซึ่งส.ส. คนนี้ก็นึกนิยมในเขตแนวคิดของ วิลเล็ต จึงได้นำเข้าเสนอต่อรัฐสภาทันทีในปี 1908
แต่เรื่องนี้ก็ยังยืดเยื้อมีการทุกเถียงกันอยู่หลายปี ต่างคนต่างมีการสนับสนุนแนวคิด ทั้งการเปลี่ยนแปลงและอนุรักษ์นิยม

แต่ผู้ที่มีบทบาทในการสนับสนุนเรื่องนี้มากที่สุดก็คือ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เขาได้ปราศรัยเรื่องนี้ใน กิลฮอลล์ เช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิว่า
“เราอยากได้ของขวัญที่สวยงามตระการตาจึงขอยืม 1 ชั่วโมงในเดือนเมษายนและจะจ่ายคืนด้วยดอกเบี้ยทองคำในห้าเดือนข้างหน้า”
มีการต่อต้านจากเกษตรกร และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ มากมาย โดยให้เหตุผลว่า เกษตรกรจำเป็นจะต้องทำงานตามดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ทำงานตามนาฬิกา
การเปลี่ยนเวลาจะทำให้พวกเขา ต้องหลุดออกไปจากโลกของเกษตรกรรม
ส่วนนักวิทยาศาสตร์มีข้อกังวล เกี่ยวกับการขาดความต่อเนื่องและรวบรวมข้อมูลในการสำรวจวิจัย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความสับสนในระบบเวลา และการอ้างอิงเชิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของทั่วโลกได้
แต่ว่าวิลเล็ตต์ ยังไม่หยุดยั้งการนำแนวคิดนี้ เพื่อเปลี่ยนโลก
เขาพยายามผลักดันเรื่องนี้ให้ผ่านร่างกฎหมายตลอดระยะเวลาหลายปี จนเขาเสียชีวิตในปี 1915 เสียก่อน จึงไม่ได้เห็นแนวความคิดของเขาเป็นจริงขึ้นมา

อย่างไรก็ตามแนวคิดของ วิลเล็ตต์ ก็แพร่กระจายไปทั่วยุโรป และเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ไกเซอร์ วิลเฮล์ม จักรพรรดิ์แห่งเยอรมนี ก็ทดลองใช้ DST และยอมรับว่าเป็นประโยชน์มากในการนำแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงที่มีค่าสำหรับการทำสงคราม
ดังนั้นการนำเอาความคิดของชาวอังกฤษมาใช้จึงเกิดขึ้นในประเทศเยอรมนีเป็นที่แรกเมื่อปี 1916
เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศอังกฤษ และประเทศในยุโรปทั้งสองฝั่งของสงคราม จึงได้นำแนวคิดของ วิลเล็ตต์ มาใช้อย่างรวดเร็วและ ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1918 หลังจากเข้าสู่สงคราม
หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกแล้ว สหราชอาณาจักร และประเทศอื่นๆ ยังคงใช้การเปลี่ยนเวลาต่อไป
แต่บางประเทศก็ยกเลิก ด้วยเหตุผลจากความไม่สอดคล้องกันในบางส่วนของประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และทั่วโลกทำให้เกิดปัญหาเหตุการณ์ผิดปกติและโศกนาฎกรรมเป็นครั้งคราว

ข้อมูล : https://www.historyextra.com/period/20th-century/history-why-clocks-change-daylight-saving-time-summer/
Hits: 620