11/12/2023

รู้ตัวคนเรียกแขก “สยามเมืองยิ้ม” แล้ว


ไม่นึกว่าผมกลายเป็นคนฮ็อตไปแล้ว ในทางที่ผมไม่ปรารถนาเลย
นั่นคือถูกสื่อลากไปกลางวงของคนสองกลุ่มที่กำลังทะเลาะกันทางการเมือง
เพิ่มเติมจากเดิมที่ถูกถล่มรายวันในกระทู้การเมือง และกระทู้ที่ไม่ใช่การเมือง
แปลกนะ คนด่าอาจคิดว่าด่าผมแล้วจะบรรลุเป้าหมายอะไรบางอย่าง
คิดผิดแล้วละเตง



ที่แท้นักเขียนดัง จังหวะเปิดหน้างาน

ข่าวต้นฉบับ : ไทยโพสต์

วินทร์ เลียววาริณ
วินทร์ เลียววาริณ (ขอขอบพระคุณภาพจาก chulapress.com)
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.62 หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้รายงานข่าว วินทร์ เลียววาริณ  ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์  โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่อง “ยิ้ม” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวสมัยที่ทำงานโฆษณา

“ผมมีโอกาสร่วมงานกับฝรั่งชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อ เดวิด แลนเดอร์

แกเป็น ครีเอทีฟ ไดเรกเตอร์ ที่มาช่วยงานบริษัทเรา

ครีเอทีฟ ไดเรกเตอร์ คือตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายสร้างสรรค์

เดวิดไม่ใช่ ครีเอทีฟ ไดเรกเตอร์ ธรรมดา แกเป็นผู้ที่มีบทบาทสูงคนหนึ่งในก่อร่างวงการโฆษณาไทยจนเป็นเช่นวันนี้

ในยุคแรกนั้นเมืองไทยยังไม่มีเอเจนซีโฆษณาสัญชาติไทย ฝรั่งเข้ามาบุกเบิก แล้วเอเจนซีไทยก็ค่อยๆ โผล่มาทีละบริษัท หลายแห่งก็ร่วมทุนกับต่างประเทศ

เดวิดเป็นคนคุยสนุก ความรู้รอบตัวเยอะ ชอบดื่มเหล้า ตอนที่ผมเข้าวงการนั้น แกใกล้จะเกษียณแล้ว ทำงานแก้เบื่อมากกว่าจำเป็นต้องทำ

ถึงจะเป็นฝรั่ง เดวิดก็เหมือนคนไทยคนหนึ่ง รักเมืองไทย อยู่กินกับคนไทย และในที่สุดก็ตายในเมืองไทยนี่เอง

ครั้งหนึ่งแกไปช่วยงานเอเจนซีแห่งหนึ่งที่ไปแข่งงานขององค์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ศัพท์วงการเรียกว่า pitch ลูกค้าบรี๊ฟเอเจนซีหลายแห่งให้แข่งกัน ไอเดียใครดีกว่าก็ได้งานไป

โจทย์คือโฆษณาเมืองไทย

เดวิดมองหาจุดเด่นของเมืองไทย ในที่สุดก็ไปลงที่จุดที่ไม่มีใครคิดมาก่อน

นั่นคือรอยยิ้มของคนไทย

คนไทยอาจเห็นว่ายิ้มของเราเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนต่างชาติที่ท่องมาทั่วโลกบอกว่ามันเป็นเอกลักษณ์

จึงเป็นที่มาของสโลแกน ‘Land of Smiles’

ใช่ ฝรั่งเป็นคนต้นคิดสโลแกน ‘สยามเมืองยิ้ม’

ฝรั่งหัวใจไทย

เดวิดอยู่เมืองไทยนานจนรู้จักคนไทยดี แกท่องเที่ยวไปทั่วโลกจนรู้ว่ารอยยิ้มแบบไทยเป็นสิ่งที่ชาติอื่นไม่มี

ไม่มีคนที่ไหนยิ้มอย่างนี้ จริงใจ ยิ้มง่าย ยินดีต้อนรับแขกที่มาเยือน

ความเรียบง่ายแต่แรงของสโลแกนนี้ทำให้เอเจนซีแห่งนั้นได้งานไป แม้จะเป็นเพียงเอเจนซีเล็กๆ ที่เพิ่งก่อตั้งไม่นาน

สโลแกน ‘Land of Smiles’ อยู่คู่เมืองไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่แทบไม่มีใครรู้ว่าคนคิดคือคนต่างชาติที่มีหัวใจไทยเต็มเปี่ยม

คนไทยอาจจะไม่ดีหมดทุกคน อาจมีคนเห็นแก่ตัวคนเลวปนอยู่ มีคนคิดต่าง ทะเลาะกัน แต่ท้ายที่สุด เมื่อเราถอดเปลือกของสีออก เราก็พบว่ารากของเราคือรอยยิ้มที่รัดร้อยสังคมของเราด้วยกัน

ยิ้มเมื่อสุข ยิ้มเมื่อทุกข์

เป็นยิ้มเดียวกับที่ยิ้มเพื่อปล่อยวางความระยำที่นักการเมืองเลวๆ ทำกับบ้านเกิดเมืองนอนของตนตลอดมา

ยิ้มแล้วเดินหน้าต่อไป

และหากคนต่างชาติมองเห็นความงามของรอยยิ้มของเรา เราคนไทยเองมองเห็นมันหรือไม่?

……………………………

https://www.facebook.com/1501588676783760/posts/2271188929823727/

และหลังจากที่ลงโพสต์นี้ นักเขียนชื่อดังก็ได้กลับมาโพสต์แบไต๋ ให้ชาวโซเชียล ด้วยโพสต์ของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ มีข้อความว่า

“ไม่นึกว่าผมกลายเป็นคนฮ็อตไปแล้ว ในทางที่ผมไม่ปรารถนาเลย

นั่นคือถูกสื่อลากไปกลางวงของคนสองกลุ่มที่กำลังทะเลาะกันทางการเมือง

เพิ่มเติมจากเดิมที่ถูกถล่มรายวันในกระทู้การเมือง และกระทู้ที่ไม่ใช่การเมือง

แปลกนะ คนด่าอาจคิดว่าด่าผมแล้วจะบรรลุเป้าหมายอะไรบางอย่าง

คิดผิดแล้วละเตง

เช้านี้ก็เขียนเรื่องคิดต่าง-วิเคราะห์แล้ว ลองคิดต่างดูให้ดีว่าทำไมผมจึงชอบเขียน “เรียกแขก”

นี่เป็นเรื่องธุรกิจเพื่อความอยู่รอดล้วนๆ

ใครๆ ก็รู้ ตลาดหนังสือซบเซาขนาดไหน ขายหนังสือยากเหลือเกิน ทั้งยังมีภาระต้องผ่อนคฤหาสน์ผ่อนรถผ่อนเรือ

จึงจำเป็นจริงๆ ที่ต้องแหย่เพื่อหาโอากาสขายหนังสือ

จำได้มั้ย คราวก่อนมีคนถล่มเรื่องเผาเมือง ก็ทำให้เขียน สามก๊กบนเส้นขนาน จนสำเร็จ จะวางขายเร็วๆ นี้

อาจตามด้วย ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ภาค 2

ถ้าขายดีก็ต่อด้วยภาค 3 4 5

วันนี้ขอเสนอเล่มใหม่ล่าสุด สดๆ ร้อนๆ ชื่อเรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าโดนถล่ม”

เป็นสารคดีการเมืองรสเข้มสยองขวัญ อ่านแล้ววางไม่ลง เพราะตื่นเต้นมีลุ้นทุกนาที

ถ้าขายดีก็ต่อด้วย เมื่อข้าพเจ้าโดนถล่ม เล่ม 2 3 4 5

สภาพการเมืองแบบนี้ ดูท่าจะได้เขียน เมื่อข้าพเจ้าโดนถล่ม เล่ม 24​ แน่ๆ

สรุปก็คือ ไม่ว่าใครจะด่าอะไร เราขายสินค้าลูกเดียว

อย่าลืมอุดหนุนด้วยนะเตง

………………………….


การเมืองไทยในขณะนี้ นับว่าเป็นที่จับตามองมากที่สุดยุคหนึ่ง มีการตื่นตัวของผู้คนที่หลากหลายลักษณะ มีทั้งห้อย โหน เปิดวาทกรรม นำเรื่องเก่าทั้งจริงและเท็จ มายำเละในโซเชียลมีเดีย รวมทั้งนักเขียนชื่อดังนี้ ก็ยอมรับว่าต้องโหนกระแส เพื่อความอยู่รอดด้วยเช่นกัน

แม้ว่าจะต้องนำเอา ข้อความที่สร้างความเกลียดชัง เข้ามาใส่ในเนื้อหา โดยไม่สนใจว่าจะยิ่งส่งผลร้าย ต่อความขัดแย้งในสังคมมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม นับว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว ที่ซ่อนเข้ามาในสังคมข่าวสาร

ที่ต่างคนก็ต่างไร้ความรับผิดชอบ เพียงหวังต้องการสร้างกระแสเท่านั้น

หากท่านรับสื่อเพียงด้านเดียว อาจจะไม่ครบถ้วน

ดังนั้น หากท่านได้อ่านสิ่งใดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเกลียดชัง ไม่ว่าใครก็ตาม

จงยับยั้งความคิดของท่านก่อน แล้วหาข่าวสารและเนื้อหาด้านอื่นๆ เข้ามาเพื่อช่วยสร้างความเข้าใจ และแยกแยะด้านที่เป็นข้อความจริง และเท็จออกจากกันได้ชัดเจน เพื่อการตัดสินใจของท่านที่ถูกต้องที่สุดครับ


ขอขอบคุณ : คุณปวีณา ศิริกุล เอื้อเฟื้อภาพประกอบ (ใช้ประกอบใช้ประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

Hits: 223