มาตรฐานการทำความดี ทำไมมี “คนดี” อยู่ 2 ฝั่ง?? กรณี “หมอสูตินรี” กระทำชำเราคนไข้

เป็นเรื่องเป็นราวจากคดีนอกสายตา หมอสูตินารี จังหวัดนครสวรรค์ ที่ถูกฟ้องร้องคดีข่มขืนกระทำชำเราคนไข้หญิง ซึ่งขณะนี้ต้องขอย้ำว่า มีผู้เสียหายเพียง “คนเดียว” ที่ออกมาแจ้งความร้องทุกข์ ตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา แต่ทางตำรวจ กลับปล่อยปละคดีนี้ จนระยะเวลาล่วงเลยมากว่า 3 เดือน

หากไม่มี “บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” ประธานองค์กรทำดี และ “ทนายนิด้า” ศรันยา หวังสุขเจริญ ออกมาเปิดเผยทางสื่อทั้งมวลชนและโซเชียล คดีนี้ก็คงไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป
เมื่อเปิดเผยเรื่องราวชัดขนาดนี้ ทำให้มีผู้เสียหาย ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าถูกกระทำจาก นายแพทย์คนนี้ มากกว่า 50 ราย ยิ่งทำให้คดีกลายเป็นที่สนใจจากสังคมอย่างยิ่ง
แต่ด้วยลักษณะของรูปคดี ที่มีความคลางแคลงใจ ทำให้ ทนายเดชา กิตติวิทยานนท์ ทนายชื่อดังที่ผันตัวเองมาเป็นสื่อมวลชน ผู้ดูแลเพจ ทนายคลายทุกข์” และ ทนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้ามาตั้งข้อสงสัยกันแบบหมดเปลือก ด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะนายแพทย์ กระทำชำเรา และอนาจาร ผู้เสียหายกลับไม่ร้องขอความช่วยเหลือ หรือขัดขืน พฤติการณ์ที่กระทำนั้น ถึงขั้นมีการลูบคลำบริเวณหน้าอก และใช้จมูกสัมผัสไปในส่วนที่ไม่จำเป็นต่อการตรวจรักษา
บางคนถูกกระทำถึงขนาดใช้ลิ้นกับของสงวนกันเลย
ข้อสงสัยที่ตามมาก็คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เหยื่อบางราย ยังกลับไปเป็นครั้งที่ 2 ส่วนบางรายก็มีการให้เงิน แต่ไม่รับก็มี ยังผลให้ตั้งข้อคัดค้านกับความน่าเชื่อถือของเหยื่อ ด้วยเหตุการณ์ก่อนที่จะเป็นข่าวโด่งดัง ผู้เสียหายเพียงคนเดียวนั้น ได้รับข้อเสนอจากทางทนาย ให้โทรศัพท์ไปเจรจา และทางนายแพทย์ ก็ได้โอนเงินให้เหยื่อไปถึง 300,000 บาท
เรื่องเลยโอละพ่อ กันใหญ่ เพราะทางฝ่ายผู้เสียหาย มี บุ๋ม ปนัดดา และทนายนิด้า เป็นองค์กรช่วยเหลือ

ขณะที่ 2 ทนายชื่อดังจากหน่วยงานช่วยเหลือสังคม กลับยืนขวางทาง ด้วยการให้ความเห็นซึ่งทำให้คนเข้าใจไป 2 แง่ นั่นคือ
- ทำไมถึงยืนหยัดแก้ต่างให้กับนายแพทย์ ที่เป็นผู้ต้องหา ถึงขนาดลงพื้นที่ไปยังคลีนิค คลายความสงสัยด้วยการให้ผู้สื่อข่าว ทดลองร้องเสียงดัง และเบา เพื่อเปรียบเทียบบรรยากาศในคลีนิคว่าจะมีใครได้ยินหรือไม่ ขณะที่นายแพทย์กระทำการ ซึ่งผลก็ชัดเจนว่า ได้ยินไปทั้งคลีนิค เนื่องจากเป็นตึกแถวขนาดไม่กว้างใหญ่มากจนทำให้ไม่ได้ยินเสียง
- หากฝั่ง 2 ทนาย มองเห็นรูปแบบคดีเป็นเช่นนี้ ชื่อของชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ก็ต้องนำมาทาบลงบนคดีนี้ นั่นหมายถึงฝั่งสตรีผู้เสียหาย กลายเป็นอาชญากรเสียเอง ซึ่งหลายครั้ง มักจะเอ่ยถึงตัวอย่างคดี ผู้เสียหายหญิง ฟ้องร้องกล่าวหานายแพทย์ ส่วนใหญ่เป็นคดีแบล็คเมล์
ก่อนหน้านี้นายแพทย์ ได้เคยถูกแจ้งความในการกระทำลักษณะมาก่อน ตั้งแต่ประมาณปี 2557-2558 โดยมีผู้เสียหาย ซึ่งเป็นภรรยาตำรวจ ไปขอรับการรักษา แต่ถูกกระทำชำเรา และได้มีการเรียกร้องค่าเสียหายกัน และผู้เสียหายเข้าร่วมเจ้าทุกข์และพยาน
ครั้งนั้นนายแพทย์ ได้ยอมรับกับตำรวจว่าตนเองได้กระทำการณ์ดังกล่าวจริง และมีการจ่ายค่าเสียหาย ปิดคดีจบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่มาครั้งนี้เรื่องราวกลับโกลาหลยิ่งขึ้น ไม่ได้เงียบเหมือนครั้งก่อน…!!!
ทำให้เราต้องมาพินิจพิเคราะห์กันดู ว่าทำไม “คนดี” จึงมี 2 ฝั่ง !!!
3-4 วันที่ผ่านมา จึงเป็นการฟาดปากกันทางสื่อโซเชียล ด้วยกรณีทนายนิด้า โพสต์ออกสื่อโซเชียลด่าเหน็บทนายเดชา เป็นปลิง เกาะคดี คอยวิจารณ์ ส่วนฝ่ายทนายเดชา ก็โพสต์ด่ากลับ ว่าทนายนิด้า โชว์โง่ออกสื่อ
ขณะที่ควันชุลมุนของคู่แรกนี้เริ่มจางไป กลับมีคู่ใหม่มาอีก
โดยทนายอัจฉริยะ ต่อว่าบุ๋ม ปนัดดา ที่กล่าวหาว่ารับเงินจากนายแพทย์ มาช่วยเหลือคดีดังกล่าว ขณะที่เจ้าตัวก็งงหนัก ว่าทนายอัจฉริยะ เอาข้อมูลมาจากไหน
ก่อนจะจบคดี เชื่อว่ายังมีไฟท์ต่อๆ ไปอีกอย่างแน่นอน
ส่วนใครจะเป็นแฟนใคร เอาใจช่วยฝั่งไหน ต้องคอยติดตามกันดู ว่าผลการสืบสวนสอบสวน การนำเอาพยานหลักฐาน ที่ฝ่ายผู้เสียหายกล่าวว่า หลั่งใหลมาจากทุกสารทิศ จะนำมามัดตัวนายแพทย์ได้หรือไม่ และฝั่งทนายเดชา, ทนายอัจฉริยะ ที่ยังไม่ได้กล่าวต่อสังคมอย่างเป็นทางการ ว่าตนเห็นว่านายแพทย์เป็นเหยื่อของอาชญากรรม แต่การกระทำที่ปกป้องด้วยข้อโต้แย้งทางพยานหลักฐานะ ก็ประหนึ่งว่าเป็นการปกป้องนายแพทย์โดยปริยาย
สุดท้ายจะต้องมี “คนดีตกม้าตาย” ไปอย่างแน่นอน ถ้าไม่หาทางกระโดดหนีออกมาเสียก่อน
ภาพประกอบ จากอินเตอร์เน็ต
ติดตามข่าวสาร กดเพิ่มเราเป็นเพื่อน
[efb_likebox fanpage_url=”TrendingtalkUK” fb_appid=”217654438803512″ box_width=”900″ box_height=”300″ locale=”en_GB” responsive=”1″ show_faces=”1″ show_stream=”0″ hide_cover=”0″ small_header=”0″ hide_cta=”0″ animate_effect=”bounceInDown” ]
Hits: 96